วันนี้เป็นอีกวันที่ได้กลับบ้าน กลับมานอนเอกเขนกบนเสื่อผืนที่คุ้นเคย เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ากลับมาเป็นสีครามอีกครั้ง หลังจากที่ฝนโปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้าจนไม่น่าเชื่อว่า จะได้เจอท้องฟ้าสีสดใสแบบนี้อีกในวันเดียวกัน หอมกลิ่นดินหลังฝนตกจางๆ ปนกับกลิ่นใบไม้ใบหญ้าสด มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวๆ ต้นไม้ริมรั้วพากันแตกยอดอ่อน คงเป็นช่วงเดียวที่จะได้เห็นความเขียวสดของต้นไม้ ฉันเผลอสูดอากาศหลังฝนตกเข้าไปเสียเต็มปอด อากาศสดชื่นๆแบบนี้หาได้ยากในเมืองหลวง ความรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจก็เกิดขึ้น จนอยากจะเก็บความรู้สึกนั้นไว้นานๆ.....
Sasathorn House
....มีใครบางคนเคยบอกว่า...เราไม่สามารถอยู่ในสถานที่ ที่เราไม่เคยอยู่ แต่ฉันกำลังจะพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า ฉันคนหนึ่ง สามารถอยู่ได้ในทุกๆที่ แม้ว่าจะไม่คุ้นเคย และไม่มีเงินทองมากมาย แต่ก็มีความสุขในการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ที่นี่.....Sasathorn House...
"ม่อน-ถ้ำ" ตำนาน อาถรรพ์ ความรัก : เผย“แพร่” แลตะลึง!?! โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
|
แต่ถ้าใครมีโอกาสไปสัมผัสกับความน่าสนใจของเมืองหม้อห้อมไม้สัก ถิ่นรักพระลอแบบให้เวลาสักหน่อย ก็จะพบว่าในความเรียบง่ายของแพร่มีแง่งามแฝงเร้นอยู่ไม่น้อย ทั้งธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม วัดวาอาราม อาหารการกิน วิถีชีวิต และสาวๆเมืองแพร่ที่น่ารักเปี่ยมไมตรี | ||||
ม่อนเสาหินพิศวง นานมาแล้วที่ความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติ อย่างกลุ่มเสาดิน“แพะเมืองผี” เป็นหนึ่งในเสน่ห์ดึงดูดให้คนมาเที่ยวเมืองแพร่ มาวันนี้แพร่ได้เผยโฉมความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติขึ้นอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ “ม่อนเสาหินพิศวง” ที่ตั้งอยู่ที่บ้านนาพูน พัฒนา ต.นาพูน อ.วังชิ้น ซึ่งจะน่าพิศวงแค่ไหนคงต้องตามไปดูกัน | ||||
“เคยมีคนเอาก้อนหินออกไปจากม่อน พอไปถึงที่บ้านก้อนหินกลายเป็นงูไปได้ยังไงไม่รู้ ส่วนบางคนเอาไปฝันร้าย อยู่ไม่เป็นสุข ต้องนำหินมาคืน” ลุงรุณ พรหมจันทร์ เล่าให้เราฟัง | ||||
“เรามองการเกิดม่อนหินเหล่านี้เป็นวิทยาศาสตร์แต่ก็ไม่ไปทำลายความ เชื่อของชาวบ้าน ชื่อจุดต่างๆของม่อนเสาหินเราจึงตั้งชื่อตามความเชื่อของชาวบ้าน” ผู้ว่าเมืองแพร่กล่าว | ||||
ทั้งนี้ทางจังหวัดแพร่ได้ทำการปรับปรุงภูมิทัศน์ม่อนเสาหินให้เป็น แหล่งท่องเที่ยวที่แม้ปัจจุบันยังไม่เสร็จสมบูรณ์แต่ว่าก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อ การเดินเที่ยวชม โดยม่อนหินแห่งนี้ แบ่งเป็นจุดสำคัญๆ 8 ม่อน ย่อย ซึ่งที่เด่นๆมี | ||||
“ม่อนเจ้าคำคือ” เป็นเสาหินก้อนหินจำนวนมาก มีทั้งตั้งตรง ล้มเอียง ตั้งเป็นกลุ่มกระจุก และกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ สำหรับชื่อม่อนตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าคำคือ ผีอีกตนหนึ่งที่ชาวบ้านนั้บถือ | ||||
และ“ม่อนเสาหินพิศวง” ม่อนไฮไลท์ ที่เป็นแท่งหินสูงประมาณ 3 เมตร เรียงตัวติดกันเป็นคูหาห้อง ชาวบ้านที่นี่เชื่อว่านี่คือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงมีคนมาบนบานศาลกล่าวและ นำธูปเทียนมาเคารพสักการะที่ม่อนแห่งนี้ | ||||
| ||||
มาเที่ยวทริปนี้ เราได้สัมผัสกับอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่เปิดตัวใหม่แต่ไม่ใหม่ของจังหวัด แพร่ นั่นก็คือ “ถ้ำผานางคอย” ที่บ้านผาหมู อ.ร้องกวาง พูดอย่างนี้หลายคนอาจงง แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้ำผานางคอยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่คู่เมืองแพร่มาช้านานแล้ว เพียงแต่ว่าของเก่านั้นเป็นการปล่อยไปตามอัตภาพ จนเมื่อทางจังหวัดกับอบจ.เข้ามาปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ จึงเกิดเป็นถ้ำผานางคอยในมิติใหม่ขึ้น | ||||
ดังนั้นการพัฒนาถ้ำจึงเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทางอบจ.แพร่ได้ให้นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาถ้ำเพื่อการท่อง เที่ยว จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้และศิลปากรมาช่วยจัดตกแต่งภูมิทัศน์ ใส่แสง สี เสียง เทคนิคสมัยใหม่ และสร้างเส้นทางเดินท่องเที่ยวในพื้นที่ประมาณ 150 เมตร กว้างราว 20 เมตรของถ้ำ โดยดึงเอาตำนานรักอมตะของถ้ำแห่งนี้มาผูกเป็นเรื่องราวเชื่อมโยงกับจุดน่า สนใจต่างๆภายในถ้ำ | ||||
...เมื่อ 800 กว่าปีที่แล้ว เจ้าเมืองแห่งอาณาจักรแสนหวีมีราชธิดาผู้เลอโฉม มีพระนาม “เจ้าหญิงอรัญญณี” วันหนึ่งเจ้าหญิงเสด็จโดยชลมารคแล้วเกิดเรือล่ม คะนองเดช(ชื่อตามแอนนิเมชั่น เข้าใจว่าเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลัง)ทหารหัวหน้าฝีพายได้เข้ามาช่วยเหลือ เจ้าหญิงแล้วเกิดรักกัน แต่ก็เหมือนตำนานรักไม่สมหวังทั่วไป คือฝ่ายพระราชบิดากีดกันเพราะเห็นว่าไม่เหมาะสมกัน ทั้งคู่จึงพากันหนีลงมาทางใต้โดยมีทหารไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิดจนเจ้าหญิง ถูกยิง คะนองเดชจึงพาเจ้าหิงมาหลบในถ้ำแห่งนี้ เจ้าหญิงเห็นว่าคะนองเดชกำลังเพลี่ยงพล้ำจึงให้หนีไปก่อน โดยบอกว่าจะคอยทหารอันเป็นที่รักแห่งนี้ตลอดไป กลายเป็นก้อนหินนางคอยกับตำนานรักอมตะปนเศร้าของถ้ำผานางคอยแห่งนี้... | ||||
“คูหาสวรรค์” เป็นโพรงถ้ำปากทางเข้ามีหินย้อยลักษณะคล้ายมือขนาดใหญ่ เชื่อว่าเจ้าหญิงอรัญญณีเคยมาพักพิงที่นี่ | ||||
“เนรมิตม่านแก้ว” เกิดจากหินงอกหินย้อยบรรจบกัน เป็นรูปทรงคล้ายผ้าม่านอ่อนช้อยสวยงามขนาดใหญ่ | ||||
และ ”อลังการแห่งรักอรัญญณี” เป็นหินรูปร่าง ประหลาด ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเจ้าหญิงอรัญญณีอุ้มลูกคอยคนรักจนกลายเป็นหินที่นี่ จึงเรียกว่า“หินนางคอย” ซึ่งหากมองถูกจุดถูกมุมแล้วจินตนการตามจะดูคล้ายผู้หญิงกำลังอุ้มลูกผินหน้า ไปทางหนึ่ง | ||||
และนี่ก็คือเรื่องราวของ 2 แหล่งท่องเที่ยวเปิดตัวใหม่ ถือเป็นอีกบางส่วนบางมุมของเมืองแพร่เมืองผ่าน ที่หากใครผ่านแล้วไม่ผ่านเลยก็จะรู้ว่าแพร่มีสิ่งดีๆชวนค้นหาเกินกว่าความ คาดคิดคำนึงของใครหลายๆคนอยู่ไม่น้อยเลย | ||||
***************************************** |
"ข้าวหนึกงา" โมจิเมืองแพร่
ของทานเล่นแก้หิวยามเช้าในช่วงหน้าหนาว ของชาวแพร่ อาจจะไม่ใช่ปาท่องโก๋ เหมือนทั่วๆไป อากาศที่นี่เข้าขั้นหนาวถึงหนาวจัด ตอนเช้าต้องลุกขึ้นมาผิงไฟในครัวพร้อมๆกับนึ่งข้าวเหนียวไปด้วย อาหารที่ให้พลังงานเป็นสิ่งจำเป็นและต้องไม่ยากในการทำ "ข้าวหนึกงา" หรือข้าวคลุกงา คือเมนูที่ทำง่ายและอิ่มท้องจนกว่าจะถึงอาหารมื้อเช้าอีกครั้งหนึ่ง วิธีทำก็ง่ายแสนง่าย นั่นคือ ใช้เกลือเม็ดโขลกกับ งาขี้ม้อน ซึ่งเป็นงาพื้นบ้านที่ปลูกกันทั่วๆไป โขลกพอแหลก แล้วก็เอาข้าวเหนียวร้อนๆใส่ลงไป โขลกจนข้าวเหนียวติดกันไม่เห็นเป็นเม็ดข้าว เวลาจะทานก็เอามาใส่ใบตองทานกันร้อนๆ ควันฉุย หอมกลิ่นงา จนต้องทานเป็นชิ้นที่ 2 ชวนให้นึกถึงโมจิของญี่ปุ่นที่มีให้ทานตามร้านอาหารญี่ปุ่นหรูๆ แต่ที่นี่ไม่ต้องเสียเงินแพงๆ ก็ได้ทานอาหารที่มีคุณค่า และเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน เที่ยวแพร่ หนาวนี้อย่าลืม "ข้าวหนึกงา" นะคะ
บทความเกี่ยวกับเมืองแพร่ที่น่าสนใจ จากManager Online
เมื่อป่าไม้มีเยอะ ในยุคหนึ่งชาวแพร่จึงนิยมสร้างบ้านแบบโชว์ไม้ เน้นเสาต้นใหญ่ๆ โดยเฉพาะเสาซุ้มประตูหน้าบ้านนี่คัดกันมาต้นเบ้อเริ่มเทิ่มดูอลังการงาน สร้างไม่น้อย อย่างไรก็ตามนั่นเป็นค่านิยมในการสร้างบ้านของคนเมืองแพร่ในยุคสมัย หนึ่ง ส่วนถ้าย้อนหลังจากบ้านยุคโชว์เสาโชว์ไม้ถอยกลับไปไกลกว่านั้นเมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว ยุคนั้นแพร่ถือเป็นยุคทองของการสร้างอาคารบ้านเรือนในทรงยุโรปประยุกต์โดย เฉพาะเรือนสไตล์"ขนมปังขิง"อันสุดแสนจะ คลาสสิก ปัจจุบันตัวเมืองแพร่ยังหลงเหลืออาคารบ้านเรือนในยุคคลาสสิก หรือที่หลายคนเรียกว่า"บ้านโบราณ"ให้ผู้พิสมัยในอาคารเก่า ได้ชื่นชมกันเป็นจำนวนหลายหลังด้วยกัน ทั้งเรือนที่มีคนอยู่อาศัย เรือนที่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ เรือนที่ปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยไปตามความเหมาะสม รวมถึงเรือนที่ถูกทิ้งร้างแต่ไม่เคยร้างลามนต์เสน่ห์ในความคลาสสิกสวยงาม ฉะนั้นเมื่อได้ขึ้นไปแอ่วเมืองแพร่(อีกครั้ง) เราจึงหาโอกาสไปปั่นจักรยานฟรีชมเมืองชมโน่นชมนี่ โดยมุ่งเน้นไปที่บรรดาอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ทั้งหลายที่ยังทรงคุณค่าอยู่ เสมอ | ||||
เวลาคนอินเลิฟมีความรักมักมองอะไรเป็นสีชมพู แต่สำหรับใครที่มาเที่ยวยัง"บ้านวงศ์บุรี"(ถ.คำลือ)จุด หมายแรกของเราในทริปนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็จะพร่างพราวไปด้วยสีชมพู เพราะบ้านหลังนี้อาบด้วยสีชมพูหวานเนียนไปทั้งหลัง แถมยังเป็นหนึ่งในบ้านเก่าสุดคลาสสิกที่อยู่คู่เมืองแพร่มาร่วมร้อยกว่าปี แล้ว บ้านวงศ์บุรีหรือคุ้มวงศ์บุรี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2440 ตามดำริของแม่เจ้าบัวถา มหายศปันยา ชายาคนแรกในเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ มีลักษณะเป็นเรือนขนมปังขิงไม้สักทอง 2 ชั้น ที่สร้างอย่างประณีต อ่อนช้อย งดงามสมส่วน มีเพดานสูง หลังคาสูง โดดเด่นไปด้วยลวดลายไม้ฉลุตามหน้าจั่ว ชายคา ระเบียง ช่องลม แฝงเส้นสายแสงเงาอยู่ในที | ||||
นอกจากนี้ยังมีห้องเก็บเอกสารทรงคุณค่าในอดีตที่หาดูได้ยาก อย่าง เอกสารการขอสัมปทานป่าไม้ในอดีต ตั๋ว รูปพรรณช้าง โค สัญญาบัตรที่ได้รับการโปรดเกล้าจากรัชกาลที่ 5 และเอกสารการซื้อ-ขาย ทาสที่เรียกความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และด้วยความสวยงามโดดเด่นทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ทำให้บ้านวงศ์บุรีได้รับการยกย่องให้เป็น"อาคารอนุรักษ์ดีเด่น" ประจำ ปี 2536 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่เมื่อ"ตะลอนเที่ยว"เข้ามาสัมผัสดูแล้วรู้สึกว่าที่นี่ดุจดังโลกใบน้อยสี ชมพูที่คอยสร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนอยู่มิสร่างซา | ||||
เรือนขนมปังขิง เรือนแบบยุโรปประยุกต์ ในเมืองแพร่ในอดีตเป็นเรือนของคหบดีและผู้มีอันจะกิน แต่น่าเสียดายว่า วันนี้เรือนเก่าบางหลังถูกทิ้งโดดเดี่ยวเปลี่ยวเปล่า ดังเช่น "บ้าน(คุ้ม)วิชัยราชา" (ถ.สันกลาง ใกล้ๆกับวัดศรีบุญเรือง)หรือ"บ้าน เจ้าวงศ์" หรือ"บ้านเจ้าโว้ง" อดีตบ้านเก่าทรง คุณค่า ที่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างมาก่อน พ.ศ.2434 โดยเจ้าหนานขัติ (ต้นตระกูลแสนสิริพันธุ์ ) บุตรเจ้าแสนเสมอใจ ที่รอผู้สนใจหรือหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือดูแลปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์หรือ แหล่งเรียนรู้คู่เมืองแพร่ต่อไป | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
เรือนเก่าในเมืองแพร่ นอกจากจะเป็นบ้านพักอาศัย อาคารร้านค้า และพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังมีอาคารเรียนอย่าง "อาคารน้ำเพชร" ใน โรงเรียนนารีรัตน์ ที่ดูเก่าขรึมขลังสวยเท่ในสไตล์เรือนขนมปังขิง ในขณะที่ตรงข้ามกับโรงเรียนนารีรัตน์มีอีกหนึ่งอาคารสำคัญซึ่งถือ เป็นไฮไลท์ปิดท้ายในการเที่ยวของเราในทริปนี้ นั่นก็คือ "คุ้มเจ้า หลวงเมืองแพร่" (ถ.คุ้มเดิม หน้าจวนผู้ว่าฯแพร่ปัจจุบัน) คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ สร้างในปี 2435 ก่อนคุ้มวงศ์บุรี 5 ปี โดยเจ้าหลวงพิริยะชัยเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองเมืองแพร่องค์สุดท้าย | ||||
ในปี พ.ศ. 2501 คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่เคยเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เมื่อคราวเสด็จเยี่ยมราษฎรในจังหวัดแพร่ ส่วนในปี พ.ศ. 2536 ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นในปี พ.ศ. 2540 ปัจจุบันคุ้มเจ้าหลวงจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองแพร่ แบ่งพื้นที่เป็นห้องต่างๆ อาทิ ห้องพิริยภูมิศิลป์ นำเสนอมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่น) ห้องพิริยทัศนา นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดแพร่ ห้องพิริยสวามิภักดิ์ เป็นห้องเทิดพระเกียรติ ห้องพิริยอาลัยนำเสนอประวัติเจ้าหลวง | ||||
สำหรับการเข้าชมในคุกใต้ดินนั้น เขามีเคล็ดอยู่ว่า อย่าเดินหน้าหันหน้าเข้าคุกแต่ให้เดินถอยหลังเข้าคุกแทน ส่วนตอนออกก็เดินหน้าออกมาอย่าหันหลังไปมองคุก เพราะอาจจะทำให้ต้องโทษเข้าคุกในอนาคตได้ ส่วนบรรยากาศในคุกยามที่"ตะลอนเที่ยว" ลงไปเดินชมนั้นวังเวง ชวนขนลุกไม่น้อย แต่นี่ไยมิใช่เป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งเรือนเก่าในเมืองแพร่ ที่เราคงต้องตามดูกันต่อไปว่า บรรดาอาคารบ้านเรือนเก่าต่างๆในเมืองแพร่ รวมถึงที่อื่นๆทั่วฟ้าเมืองไทยจะได้รับความสนใจ คงสภาพ และยืนหยัดต้านการรื้อทำลายได้มากน้อยแค่ไหน |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)