Sasathorn House

....มีใครบางคนเคยบอกว่า...เราไม่สามารถอยู่ในสถานที่ ที่เราไม่เคยอยู่ แต่ฉันกำลังจะพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า ฉันคนหนึ่ง สามารถอยู่ได้ในทุกๆที่ แม้ว่าจะไม่คุ้นเคย และไม่มีเงินทองมากมาย แต่ก็มีความสุขในการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ที่นี่.....Sasathorn House...

น้ำยาปรับผ้านุ่มจากครีมนวดผมเหลือใช้



ครีมนวดผมที่ติดอยู่ก้นหลอด จะทิ้งก็เสียดาย จะใช้ก็ไม่น่าจะพอ แถมยังไม่อยากใช้ อยากจะเปิดหลอดใหม่อยู่เรื่อย หรือบางทีบางยี่ห้อใช้แล้วไม่work กะผม ก็อยากจะทิ้งแต่ก็ทิ้งไม่ลง เสียดายตังค์ คุณเคยเป็นแบบนี้บ้างไหมคะ ฉันเป็นอยู่บ่อยๆค่ะ ไอเดียนี้จึงเกิด เราสามารถใช้ครีมนวดผมที่เหลือใช้เอาไปทำน้ำยาปรับผ้านุ่มได้ค่ะ 55 อย่าเพิ่งแปลกใจและคิดไปล่วงหน้าว่ามันimpossible ลองอ่านต่อค่ะ วิธีทำก็คือ ใช้น้ำร้อนเทลงไปในหลอดแล้วเอาครีมที่เหลือออกมาอุ่นบนเตาและเติมน้ำกะให้ข้นประมาณน้ำยาปรับผ้านุ่ม ทิ้งไว้ให้เย็น คุณก็จะได้น้ำยาปรับผ้านุ่มสมใจค่ะ ถ้าไม่ชอบกลิ่นจะใส่กลิ่นอื่นลงไปก็ได้นะคะ แต่ต้องอุ่นให้นานขึ้นเพื่อให้กลิ่นเดิมของครีมนวดผมจางไปก่อน และการเติมกลิ่นใหม่ให้เติมตอนที่น้ำยาเริ่มเย็นเพื่อป้องกันกลิ่นระเหยเนื่องจากความร้อนค่ะ  สำหรับการใช้งานคุณก็สามารถใช้จำนวนตามปกติที่เคยใช้ค่ะ เพียงแค่นี้เราก็สามารถประหยัดกับค่าน้ำยาปรับผ้านุ่มไปเยอะเลยค่ะ แต่ไม่เหมาะกับการซื้อครีมนวดมาทำน้ำยาปรับผ้านุ่มนะคะ เพราะครีมนวดผมราคาแพงกว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มค่ะ 555

ลดน้ำหนักเร่งด่วน 3-5 กก /สัปดาห์ ด้วยแตงโม!!!!

เผอิญไปอ่านเจอเวบบล็อกของต่างประเทศ http://findyourdietplan.com เห็นเขาแชร์ไอเดียในการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนด้วยแตงโม ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังค่ะ เพราะส่วนใหญ่เรามักจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าวิธีการที่ช่วยลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี คือการรับประทานอาหารให้เหมาะสม ไม่มากเกินไป ต้องมีการออกกำลังกาย และงดอาหารที่มีไขมันสูง บลาๆๆๆๆ เยอะไปหมด สารพัดวิธี แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ฝรั่งก็เลยได้ทำการศึกษาโดยพบว่าถ้าเราใช้แตงโม 1 ปอนด์ต่อ น้ำหนักตัวเรา 10 กิโลกรัม ต่อวัน เราสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 3- 5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ โดยใช้แตงโมเป็นอาหารหลักร่วมกับโยเกิร์ต หรือ จะใช้เดี่ยวๆก็ได้ ผลที่เกิดขึ้นคือ แตงโมมีคุณสมบัติในการขับน้ำ คุณจะรู้สึกอยากฉี่บ่อยขึ้น และผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งคือ แตงโมใช้ขับสารพิษได้อีกด้วยค่ะ ดังนั้นลองเพียงสั้นๆแค่สัปดาห์เดียวคงไม่มีผลเสียอะไรมากมายนะคะ แต่สำหรับโปรแกรมนี้ ไม่เหมาะกับผู้ป่วย เบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต รวมทั้ง ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยอื่นๆนะคะ เหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้นที่เผอิญมีน้ำหนักเกินตัวไปนิ๊ดนึงค่ะ ^_^

เคล็ดลับการซักถุงเท้าให้ขาวสะอาดและขจัดกลิ่นอับ...

หนักใจกับถุงเท้าเจ้าตัวเล็กไหมคะ ที่กลับจากโรงเรียนในสภาพถุงเท้าประมาณผ่านสงครามโลกครั้งที่สอง เราต้องมาแช่ในน้ำยาขจัดคราบที่ ไม่ถนอมผ้าแล้วยังเป็นศัตรูกับมือเราอีกต่างหาก วันนี้มีเคล็ดลับมาฝากค่ะ
เริ่มต้นโดยการนำถุงเท้าแช่ในน้ำสะอาด ตรงที่มีคราบหนักๆให้ใช้น้ำยาล้างจานป้ายลงไปตรงๆแล้วขยี้ แค่นี้คราบบนถุงเท้าก็หายไปในพริบตาค่ะ ไม่ต้องแช่ข้ามคืน เมื่อทำครบทุกคู่แล้ว เทน้ำยา เดทตอลลงไปครึ่งฝา แช่ถุงเท้าทิ้งไว้5 นาทีแล้วล้างน้ำ แล้วแช่ในน้ำยาปรับผ้านุ่มตามปกติ และไปตากให้แห้ง จะพบว่าถุงเท้าจะขาวสะอาดและไม่มีกลิ่นอับเลยค่ะ เคล็ดลับง่ายๆและประหยัดแบบนี้ หาได้ที่นี่ที่เดียวค่ะ ^_^

สบู่เหลวอย่างง่าย

เราสามารถทำสบู่เหลวเพื่อเอาไปใช้ทำน้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน หรือเอาไปอาบน้ำหรือว่าสระผม ได้จาก สบู่ก้อนธรรมดานี่แหล่ะค่ะ ก้อนละไม่ถึงยี่สิบบาท วิธีทำก็ง่ายแสนง่าย โดยการขูดสบู่ก้อน หนึ่งส่วน ผสมกับน้ำเปล่าสี่ส่วน อาจจะต้มประมาณครึ่งชั่วโมง หรือจะปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืน เราก็จะได้สบู่เหลวแบบง่ายๆ ค่ะ :)

น้ำยาล้างจานอย่างง่าย

น้ำยาล้างจานหากเราสามารถทำเองก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เหมือนกันค่ะ มาดูส่วนผสมกันค่ะ
ส่วนผสม
สบู่เหลว ครึ่งถ้วย
น้ำร้อน 1 1/2 ถ้วย
น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันส้ม หรือกลิ่นมะนาวตามชอบ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันก็จะได้น้ำยาล้างจานแบบง่ายๆค่ะ

น้ำยาปรับผ้านุ่มแบบประหยัดของ บ้านศศธร

นำเสนอน้ำยาซักผ้าราคาประหยัดไปแล้ว ก็มาดูการทำน้ำยาปรับผ้านุ่มกันบ้างค่ะ เราสามารถทำได้จากสิ่งที่มีอยู่ในบ้านค่ะ
ส่วนผสม
ครีมนวดผม  2 ถ้วย
น้ำส้มสายชู 3 ถ้วย
น้ำเปล่า 6 ถ้วย
วิธีทำ
ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน เทลงในแกลลอน ก็จะได้น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้แล้วผ้านุ่มและมีกลิ่นหอมด้วยค่ะ

การทำน้ำยาซักผ้าแบบประหยัด

วันนี้มาลองทำน้ำยาซักผ้าที่ช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายค่ะ ตามฉบับ ของ บ้านศศธร กัน
ส่วนผสม
น้ำยาล้างจาน 1 ถ้วย
ผงฟู
น้ำเปล่า 4 ถ้วย
ผงฟู 1 ถ้วย
น้ำร้อน 1.75 ลิตร
กลิ่นที่ชอบ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
น้ำยาล้างจานกับน้ำเปล่า 4 ถ้วย ต้มให้ร้อน เติมผงฟู คนจนละลาย เติมน้ำร้อน 1.75 ลิตร ลงไปในแกลลอนขนาด 3 ลิตร แล้วเติมส่วนผสมที่เหลือลงไป เขย่าให้เข้ากัน คุณก็จะได้น้ำยาซักผ้าสูตรประหยัดโดยที่ไม่ต้องใช้สารเคมีมากมายเกินความจำเป็น  ปริมาณที่ใช้ในการซัก หนึ่งครั้งคือ 1/3 ถ้วยตวง

วิธีประหยัดแบบSasathorn House

สวัสดีค่ะ วันนี้ขอรายงานตัว หลังจากที่ห่างหายไปนาน วันนี้มีไอเดียประหยัดแบบ บ้าน ศศธร ที่อยู่กันอย่างพอเพียง ลองมาดูกันค่ะ ว่า มีวิธีอะไรบ้าง
1. ซักผ้าและตากผ้าด้วยพลังงานจากแสงแดด
2. ทำผงซักฟอก หรือน้ำยาซักผ้าใช้เอง
3. น้ำที่ทิ้งจากการซักผ้า เอาไปรดน้ำต้นไม้ค่ะ ถ้าจะให้ได้ผลแบบเกิดผลคือต่อท่อตรงไปทิ้งกลางสวนครัวกันเลย ผักที่ปลูกจะได้งามๆ
4. นำเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้ตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม เอามาต่อกันเป็นผ้าห่มได้นะคะ ลายเก๋แบบไม่มีใครเหมือนด้วยค่ะ
5.ปลูกผักกระถาง เอาไว้ทานเอง อย่าปลูกเยอะนะคะ เดี๋ยวจะกินไม่ทันค่ะ อาจจะเป็นผักที่ขึ้นง่ายๆไม่ต้องดูแลมาก เช่น ต้นหอม กระเพรา ผักบุ้ง กวางตุ้ง
6. ใช้ผ้าเช็ดมือแทนการใช้กระดาษทิชชู่ ช่วยลดการใช้กระดาษด้วยค่ะ
7. ปิดไฟ ปิดทีวี ระหว่างวันบ้าง
8. ตากน้ำสำหรับอาบช่วงเย็น เพื่อลดการใช้เครื่องทำน้ำอุ่น
9. ทำชาจากแสงอาทิตย์ (sun tea) แทนการใช้น้ำร้อน สำหรับจิบชิลล์ช่วงบ่าย
10. ทำอาหารว่างง่ายๆ ทานเอง แทนที่จะไปซื้อขนมกรุบกรอบทาน
11. ใช้คูปองส่วนลดเมื่อไปซื้อของใช้ประจำสัปดาห์
12. ทำรายการของใช้ที่อยากได้และจำเป็นจริงๆ และเมื่อไปซื้อให้ซื้อตามlist อย่างเคร่งครัด
13.พกเครื่องคิดเลขไปด้วยขณะซื้อของ และควรกำหนดงบประมาณไปให้พอดี ไม่ควรพกเงินไปเกินงบที่กะไว้
14. เลิกใช้บัตรเครดิตโดยเด็ดขาด ยกเว้นใบที่คืนเงินให้(cash back) สำหรับการรูดให้เก็บเงินส่วนที่จะจ่ายลงในกระปุก รอเก็บไว้จ่ายตามรอบบิลอย่างเคร่งครัด
15. กดน้ำจากเครื่องกรองน้ำ(ลิตรละบาท) แทนการซื้อน้ำเป็นขวด หรือใช้เครื่องกรองน้ำที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าแต่ใช้แรงดันน้ำแทน
16.เปิดแอร์เมื่อจะนอนจริงๆ และควรตั้งเวลาไว้ที่ 3 ชั่วโมง จากนั้นเปิดพัดลมแทน
17.ทำอาหารโดยใช้เตาแค่วันละครั้ง ให้ครอบคลุมทั้ง สามมื้อ
18. ทำน้ำแข็งใช้เอง และแช่ในกระติกแทนการแช่น้ำในตู้เย็น
19.อย่าซื้อของราคาปกติ โดยไม่จำเป็น ควรซื้อสินค้าลดราคาเท่านั้น
20. การซื้อขนมปังเพื่อเป็นอาหารเช้า ควรซื้อสินค้าลดราคาที่ใกล้หมดอายุเท่านั้น เพราะราคาจะถูกกว่าปกติเกินครึ่ง
21. ใช้โทรศัพท์แบบเติมเงินเท่านั้น และกำหนดงบประมาณการโทร หรือเลือกใช้โปนโมชั่นที่ประหยัดที่สุด
22. รับประทานอาหารให้อิ่มก่อนออกไปซื้อของ เพราะความหิว ทำให้เรา ซื้อของโดยไม่จำเป็น
23. ซื้อแบตเตอรี่แบบที่ชาร์จได้ ซึ่งเราต้องจ่ายราคาแพงในครั้งแรก แต่เป็นการลงทุนแค่ครั้งเดียว
24. ใช้หลอดผอมประหยัดไฟ ไม่ใช้หลอดกลม
25. ใช้กางเกงยีนส์มากกว่า หนึ่งครั้งเพื่อประหยัดการซัก(หลังการใช้ครั้งแรกต้องผึ่งก่อนนะคะไม่งั้นจะเหม็นอับค่ะ)
26. ซื้อไก่ทั้งตัวแล้วแบ่งใส่ถุงเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาใช้ทีละถุงจะประหยัดกว่าการซื้อทีละส่วน (สำหรับหมูไม่ต้องซื้อทีละนะคะ มันเยอะไปค่ะ แต่ควรซื้อทีละกิโลกรัมแล้วหั่นแบ่งไว้เหมือนไก่ค่ะ :) )
27.ใช้แก้วตวงน้ำในการโกนหนวดหรือแปรงฟัน ดีกว่าการเปิดน้ำระหว่างแปรงฟันเพื่อลดการสูญเสียน้ำ
28. ก่อนซื้อ ซีเรียล ให้เทียบราคาต่อหน่วยก่อนซื้อ ซีเรียลบางอย่างใส่ผลไม้แห้งเพิ่มนิดเดียวแต่ราคาแพงกว่าเดิม เกือบสองเท่า ถ้าชอบผลไม้แห้งจริงๆ ซื้อผลไม้แห้งแบบซองเล็กพ่วงไปกับซีเรียลแบบธรรมดาจะประหยัดกว่าค่ะ
29. เปรียบเทียบราคานมต่อกล่องก่อนซื้อเพราะสารอาหารข้างกล่อง มีอยู่ในอาหารอื่นๆอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องได้จากนม แต่สิ่งที่เราต้องการจากนม คือโปรตีน ค่ะ ดังนั้นราคาถูกที่สุดคือ สิ่งที่ดีที่สุด
30. ผลไม้ที่ทุกคนชื่นชอบซื้อเป็นกิโลกรัมราคาจะถูกกว่าซื้อเป็นชิ้นๆ ควรจะเป็นผลไม้ที่เก็บไว้ในตู้เย็นได้หลายๆวันค่ะ
31. เติมน้ำมันที่ราคาถูกที่สุดในบริเวณที่เราอาศัยอยู่
32. ล้างรถเองค่ะ น้ำที่เหลือจากล้างรถเอาไปรดน้ำต้นไม้ได้ ควรจะใช้การตักรด ดีกว่าเปิดน้ำล้างทั้งคัน เพราะจะช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่า
33. ใช้น้ำมันในการปรุงอาหารให้น้อยที่สุด ลดความอ้วนไปในตัว สำหรับน้ำมันที่เหลือใช้ สามารถเอาไปทำสบู่ล้างมือได้ โดยผสมกับน้ำขี้เถ้า แล้วเก็บไว้ 1 สัปดาห์ ตรวจสภาพความเป็นกรด-ด่าง ให้pH ไม่เกิน 8 ก็สามารถเอาไปใช้ล้างมือได้ค่ะ

Green Season ที่ Sasathorn House

  วันนี้เป็นอีกวันที่ได้กลับบ้าน กลับมานอนเอกเขนกบนเสื่อผืนที่คุ้นเคย เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ากลับมาเป็นสีครามอีกครั้ง หลังจากที่ฝนโปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้าจนไม่น่าเชื่อว่า จะได้เจอท้องฟ้าสีสดใสแบบนี้อีกในวันเดียวกัน หอมกลิ่นดินหลังฝนตกจางๆ ปนกับกลิ่นใบไม้ใบหญ้าสด  มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวๆ ต้นไม้ริมรั้วพากันแตกยอดอ่อน คงเป็นช่วงเดียวที่จะได้เห็นความเขียวสดของต้นไม้ ฉันเผลอสูดอากาศหลังฝนตกเข้าไปเสียเต็มปอด อากาศสดชื่นๆแบบนี้หาได้ยากในเมืองหลวง ความรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจก็เกิดขึ้น จนอยากจะเก็บความรู้สึกนั้นไว้นานๆ.....

"ม่อน-ถ้ำ" ตำนาน อาถรรพ์ ความรัก : เผย“แพร่” แลตะลึง!?! โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



แท่งเสาหินเรียงเป็น คูหาห้องที่ม่อนเสาหินพิศวง
       “แพร่” แม้จะเป็นเมืองผ่านที่ใครผ่านแล้วผ่านเลย
      
       แต่ถ้าใครมีโอกาสไปสัมผัสกับความน่าสนใจของเมืองหม้อห้อมไม้สัก ถิ่นรักพระลอแบบให้เวลาสักหน่อย ก็จะพบว่าในความเรียบง่ายของแพร่มีแง่งามแฝงเร้นอยู่ไม่น้อย ทั้งธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม วัดวาอาราม อาหารการกิน วิถีชีวิต และสาวๆเมืองแพร่ที่น่ารักเปี่ยมไมตรี
กองหินพะเนินเทินทึก ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
       ด้วยมนต์เสน่ห์เหล่านี้ทำให้แพร่สำหรับ“ตะลอนเที่ยว”เป็นเมืองน่า เที่ยวเมืองหนึ่งในภาคเหนือ ยิ่งล่าสุดทางจังหวัดแพร่ได้เปิดตัว แหล่งท่องเที่ยวใหม่และปรับปรุงใหม่ออกสู่สายตาของคนภายนอก มันก็ยิ่งทำให้การมาแอ่วแพร่ของเราในครั้งนี้มีอะไรใหม่ๆดีๆมาเผยแพร่ให้รู้ ว่า เมืองผ่านเมืองนี้ไม่ควรผ่านเลยด้วยประการทั้งปวง
      
       ม่อนเสาหินพิศวง
      
       นานมาแล้วที่ความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติ อย่างกลุ่มเสาดิน“แพะเมืองผี” เป็นหนึ่งในเสน่ห์ดึงดูดให้คนมาเที่ยวเมืองแพร่ มาวันนี้แพร่ได้เผยโฉมความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติขึ้นอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ “ม่อนเสาหินพิศวง” ที่ตั้งอยู่ที่บ้านนาพูน พัฒนา ต.นาพูน อ.วังชิ้น ซึ่งจะน่าพิศวงแค่ไหนคงต้องตามไปดูกัน
นักเรียนมาทัศนศึกษา ที่ม่อนเสาหิน
       ม่อนเสาหินพิศวง เดิมเรียกว่า “ม่อนหินกอง” มีอยู่ ในพื้นที่มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ชาวบ้านแถบนี้เชื่อว่าม่อนหินกองเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หลายคนได้ยินเสียงก้องกังวานในวันพระ บางคนเคยเห็นลูกแก้วลอยขึ้นมา บางคนเชื่อว่าเคยเป็นปราสาทโบราณศักดิ์สิทธิ์ก่อนพังทลายลง หรือไม่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเมืองโบราณเจริญรุ่งเรืองแล้วล่มสลายในภายหลัง ส่วนที่ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความเชื่อตรงกันก็คือ ใครที่นำสิ่งก้อนหินออกไปจากม่อนจะประสบสิ่งไม่ดีหรือมีอันเป็นไป
      
       “เคยมีคนเอาก้อนหินออกไปจากม่อน พอไปถึงที่บ้านก้อนหินกลายเป็นงูไปได้ยังไงไม่รู้ ส่วนบางคนเอาไปฝันร้าย อยู่ไม่เป็นสุข ต้องนำหินมาคืน” ลุงรุณ พรหมจันทร์ เล่าให้เราฟัง
เสาหินต้นสั้นๆกอง เต็มพื้นที่ด้านหนึ่งของม่อนเสาหิน
       และด้วยความเชื่อของชาวบ้านทำให้ม่อนหินกองถูกทิ้งรกร้าง มีเพียงบางคนที่ขึ้นมาขอพร บนบานศาลกล่าว จนกระทั่งนายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่คนปัจจุบันมาค้นพบ จึงร่วมมือกับนายอนุวัธ วงวรรณ นายกองค์การบริการส่วนจังหวัดแพร่ พัฒนาพื้นที่ม่อนเสาหินให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดแพร่ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น “ม่อนเสาหินพิศวง”
      
       “เรามองการเกิดม่อนหินเหล่านี้เป็นวิทยาศาสตร์แต่ก็ไม่ไปทำลายความ เชื่อของชาวบ้าน ชื่อจุดต่างๆของม่อนเสาหินเราจึงตั้งชื่อตามความเชื่อของชาวบ้าน” ผู้ว่าเมืองแพร่กล่าว
กลุ่มแท่งเสาหิน เอียงที่ม่อนเจ้าอาจญา
       อนึ่งในทางวิทยาศาสตร์ม่อนเสาหิน เป็นหินบะซอลด์ เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟพาเอาหินหนืด(Magma)ขึ้นสู่พื้นโลก ก่อนเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วทำให้หินเกิดรอยแตกแยก เป็นหิน 3 เหลี่ยมถึง 8 เหลี่ยม(มีหิน 6 เหลี่ยมมากที่สุด) ลักษณะเป็นกองหิน แท่งหิน เสาหิน มีขนาดความอวบของต้นประมาณเสาบ้านเสาไฟฟ้าตั้งอยู่เรียงราย มีทั้งที่เป็นเสาหินต้นสูงท่วมหัวตั้งตรงเป็นระเบียบคล้ายคนมาจับเรียงเสา หิน และเสาหินต้นสั้นๆล้มระเกะระกะบนพื้นที่ราว 20 ไร่ บนเนินเขา
      
       ทั้งนี้ทางจังหวัดแพร่ได้ทำการปรับปรุงภูมิทัศน์ม่อนเสาหินให้เป็น แหล่งท่องเที่ยวที่แม้ปัจจุบันยังไม่เสร็จสมบูรณ์แต่ว่าก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อ การเดินเที่ยวชม โดยม่อนหินแห่งนี้ แบ่งเป็นจุดสำคัญๆ 8 ม่อน ย่อย ซึ่งที่เด่นๆมี
พื้นที่ส่วนม่อนเสา หินพิศวง
       “ม่อนเจ้าอาจญา” ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่“เจ้าอาจญา” ผีที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาผีที่ชาวบ้านนับถือ มีลักษณะเป็นกลุ่มแท่งเสาหินสูงประมาณครึ่งช่วงตัวตั้งเรียงรายทำมุมประมาณ 45 องศากับพื้นที่
      
       “ม่อนเจ้าคำคือ” เป็นเสาหินก้อนหินจำนวนมาก มีทั้งตั้งตรง ล้มเอียง ตั้งเป็นกลุ่มกระจุก และกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ สำหรับชื่อม่อนตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าคำคือ ผีอีกตนหนึ่งที่ชาวบ้านนั้บถือ
บาตรรับเหรียญที่ ม่อนสะเดาะเคราะห์
       “ม่อนสะเดาะเคราะห์” เป็นก้อนหินเรียงตัวเป็นทาง เดิน และมีแอ่งคล้ายบ่อน้ำ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง ในบ่อมีบาตรวางอยู่ให้ผู้สนใจโยนเหรียญลงในบาตรเพื่อสะเดาะเคราะห์
      
       และ“ม่อนเสาหินพิศวง” ม่อนไฮไลท์ ที่เป็นแท่งหินสูงประมาณ 3 เมตร เรียงตัวติดกันเป็นคูหาห้อง ชาวบ้านที่นี่เชื่อว่านี่คือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงมีคนมาบนบานศาลกล่าวและ นำธูปเทียนมาเคารพสักการะที่ม่อนแห่งนี้
ห้องน้ำที่หลายคน วิจารณ์ว่าตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม
       และนี่ก็คือเสน่ห์อันชวนพิศวงของม่อนเสาหินพิศวงที่หลังจาก“ตะลอน เที่ยว”เดินขึ้นๆลงๆชมความแปลกประหลาดของธรรมชาติจนทั่วบริเวณแล้ว เราก็ไปเจอกับห้องน้ำสีขาวเด่นตั้งอยู่ริมเนินเขาใกล้ๆกับกองก้อนหินกระจัด กระจาย ใครหลายคนที่เห็นแล้วต่างบ่นอุบกับห้องน้ำหลังนี้ว่าทำลายภูมิทัศน์ ซึ่งยังไง“ตะลอนเที่ยว” ขอฝากไปยังผู้เกี่ยวข้องว่า ควรย้ายห้องน้ำหลังนี้ลงมาสร้างในตำแหน่งที่เหมาะสม มิฉะนั้นห้องน้ำหลังนี้จะกลายเป็น“จุดพิศวง” ที่ทำให้ม่อน เสาหินถูกลดทอนคุณค่าลงไปอย่างน่าเสียดาย
จอฉายมัลติมีเดียที่ โถงทางเข้า
       ถ้ำผานางคอย
      
       มาเที่ยวทริปนี้ เราได้สัมผัสกับอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่เปิดตัวใหม่แต่ไม่ใหม่ของจังหวัด แพร่ นั่นก็คือ “ถ้ำผานางคอย” ที่บ้านผาหมู อ.ร้องกวาง
      
       พูดอย่างนี้หลายคนอาจงง แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้ำผานางคอยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่คู่เมืองแพร่มาช้านานแล้ว เพียงแต่ว่าของเก่านั้นเป็นการปล่อยไปตามอัตภาพ จนเมื่อทางจังหวัดกับอบจ.เข้ามาปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ จึงเกิดเป็นถ้ำผานางคอยในมิติใหม่ขึ้น
บรรยากาศในถ้ำผานาง คอยเมื่อมองย้อนออกไปยังโถงถ้ำทางเข้า
       สำหรับนักเที่ยวถ้ำหลายคนอาจมองว่า เราควรปล่อยให้สภาพของถ้ำเป็นไปตามธรรมชาติ มนุษย์ไม่ควรไปเสริมแต่งมัน เพราะนอกจากกระทบต่อธรรมชาติภายในถ้ำแล้วยังทำให้ถ้ำเสียคุณค่าอีกด้วย แต่นั่นมันควรใช้กับ"ถ้ำเป็น" ที่หินงอกหินย้อยยังเจริญ เติบโตอยู่ แต่สำหรับถ้ำแห่งนี้ เป็น"ถ้ำตาย" ที่หินหยุด เจริญเติบโต(มีบ้างที่ยังเติบโตอยู่แต่ว่าไกลจากน้ำมือคน)แถมยังมีคนมาสร้าง สิ่งต่างๆไว้ในถ้ำนานแล้ว
      
       ดังนั้นการพัฒนาถ้ำจึงเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทางอบจ.แพร่ได้ให้นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาถ้ำเพื่อการท่อง เที่ยว จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้และศิลปากรมาช่วยจัดตกแต่งภูมิทัศน์ ใส่แสง สี เสียง เทคนิคสมัยใหม่ และสร้างเส้นทางเดินท่องเที่ยวในพื้นที่ประมาณ 150 เมตร กว้างราว 20 เมตรของถ้ำ โดยดึงเอาตำนานรักอมตะของถ้ำแห่งนี้มาผูกเป็นเรื่องราวเชื่อมโยงกับจุดน่า สนใจต่างๆภายในถ้ำ
หินรูปหน้าเด็ก
       เริ่มตั้งแต่การเดินเข้าสู่ภายในโถงถ้ำที่มีจอภาพมัลติมีเดียแอนนิเม ชั่นฉายเรื่องราวเล่าตำนานถ้ำที่ดูล้ำไม่น้อย ซึ่งเราเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่นี่แหละ โดยตำนานพื้นบ้านคร่าวๆของถ้ำผานางคอยนั้น มีอยู่ว่า
      
       ...เมื่อ 800 กว่าปีที่แล้ว เจ้าเมืองแห่งอาณาจักรแสนหวีมีราชธิดาผู้เลอโฉม มีพระนาม “เจ้าหญิงอรัญญณี” วันหนึ่งเจ้าหญิงเสด็จโดยชลมารคแล้วเกิดเรือล่ม คะนองเดช(ชื่อตามแอนนิเมชั่น เข้าใจว่าเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลัง)ทหารหัวหน้าฝีพายได้เข้ามาช่วยเหลือ เจ้าหญิงแล้วเกิดรักกัน แต่ก็เหมือนตำนานรักไม่สมหวังทั่วไป คือฝ่ายพระราชบิดากีดกันเพราะเห็นว่าไม่เหมาะสมกัน ทั้งคู่จึงพากันหนีลงมาทางใต้โดยมีทหารไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิดจนเจ้าหญิง ถูกยิง คะนองเดชจึงพาเจ้าหิงมาหลบในถ้ำแห่งนี้ เจ้าหญิงเห็นว่าคะนองเดชกำลังเพลี่ยงพล้ำจึงให้หนีไปก่อน โดยบอกว่าจะคอยทหารอันเป็นที่รักแห่งนี้ตลอดไป กลายเป็นก้อนหินนางคอยกับตำนานรักอมตะปนเศร้าของถ้ำผานางคอยแห่งนี้...
หินรูปหัวใจ(คน)
       เอาล่ะเมื่อรู้ตำนานกระชุ่นอารมณ์แล้ว ทีนี้เราก็ได้เวลาเดินเที่ยวถ้ำที่มีการกำหนดจุดสนใจต่างๆ ไว้ 13 จุด ให้สอดรับกับตำนานควบคู่ไปกับสิ่งสวยๆงามๆภายในถ้ำ โดยจุดเด่นๆก็มี
      
       “คูหาสวรรค์” เป็นโพรงถ้ำปากทางเข้ามีหินย้อยลักษณะคล้ายมือขนาดใหญ่ เชื่อว่าเจ้าหญิงอรัญญณีเคยมาพักพิงที่นี่
เนรมิตม่านแก้ว หินงอกหินย้อยรูปทรงผ้าม่าน
       “งามพิศอนงค์สนาน” เป็นธารน้ำซึมจากเบื้องบน เชื่อว่าเป็นที่สรงน้ำของเจ้าหญิงอรัญญณี
      
       “เนรมิตม่านแก้ว” เกิดจากหินงอกหินย้อยบรรจบกัน เป็นรูปทรงคล้ายผ้าม่านอ่อนช้อยสวยงามขนาดใหญ่
ธารเทพอธิษฐาน ธารน้ำในถ้ำกับหินทรงประหลาด
       “ธารเทพอธิษฐาน” ธารน้ำในถ้ำที่มีหินย้อยทรงยานอวกาศลอยเด่นอยู่ด้านบน
      
       และ ”อลังการแห่งรักอรัญญณี” เป็นหินรูปร่าง ประหลาด ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเจ้าหญิงอรัญญณีอุ้มลูกคอยคนรักจนกลายเป็นหินที่นี่ จึงเรียกว่า“หินนางคอย” ซึ่งหากมองถูกจุดถูกมุมแล้วจินตนการตามจะดูคล้ายผู้หญิงกำลังอุ้มลูกผินหน้า ไปทางหนึ่ง
หินนางคอย กับตำนานรักอมตะแห่งถ้ำผานางคอย
       นอกจากจุดน่าสนใจต่างๆอันเชื่อว่าเป็นตำนานแล้ว ถ้ำแห่งนี้ยังน่ายลไปด้วย หินงอกหินย้อย หินเกล็ดประกายเพชร หินรูปหัวใจ(คน) หินริ้วผ้าม่าน หินหน้าเด็ก พระพุทธรูป รูปเคารพฤาษี และลวดลายของหินตามเพดาน ผนังถ้ำ รวมถึงบรรยากาศภายน้ำที่มีลมโกรกเย็นสบายเพราะเป็นช่องลมพอดี นับเป็นความน่าสนใจของถ้ำเก่าในมิติใหม่ที่นอกจากมีความสวยงามแล้ว ยังมีตำนานความรักอมตะเป็นเครื่องสอนใจคนรุ่นใหม่บางคนที่ไม่ค่อยจะถนอมใน คุณค่าแห่งรักอีกด้วย
      
       และนี่ก็คือเรื่องราวของ 2 แหล่งท่องเที่ยวเปิดตัวใหม่ ถือเป็นอีกบางส่วนบางมุมของเมืองแพร่เมืองผ่าน ที่หากใครผ่านแล้วไม่ผ่านเลยก็จะรู้ว่าแพร่มีสิ่งดีๆชวนค้นหาเกินกว่าความ คาดคิดคำนึงของใครหลายๆคนอยู่ไม่น้อยเลย
       *****************************************